ภูเขาไฟโบรโม่ (Mount Bromo หรือ Gunung Bromo)
- ภูเขาไฟโบรโม่ เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วลูกหนึ่งของอินโดนีเซีย แต่ไม่ดับสนิท หลักฐานทางภูมิศาสตร์ของประเทศอินโดนีเซียบอกไว้ว่าทั้งประเทศมีภูเขาไฟทั้งสิ้นร่วม 400 ลูกและภูไฟประมาณ 70-80 ลูกซึ่งพร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
- คำว่าโบรโม (Bromo) แปลว่า ไฟ ภูเขาไฟลูกนี้อยู่ในเขตชวาตะวันออกลงไปทางใต้ของเมืองสุราบายา การเดินทางออกจากเมืองย็อกยาไปยังเมืองสุราบายาโดยรถไฟด่วนพิเศษซึ่งภายในห้องโดยสารออกแบบเหมือนห้องโดยสารของเครื่องบินพาณิชย์ มีเบาะนั่งกว้างหมุนได้รอบตัว ปรับเอนเป็นที่นอนได้ มีพื้นที่วางเท้า กับโฮสเตสาวเดินบริการอาหารและเครื่องดื่ม ระยะทางจากเมืองย็อกยาถึงเมือง สุราบายาประมาณ 300 กิโลเมตร รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงสองข้างทางรถไฟสวยงามด้วยภาพทุ่งรวงทองของท้องนาอันกว้างใหญ่ไพศาลตลอดทางจากเมืองย็อกยาไปจนจรดเขตจังหวัดสุราบายา
- บนถนนแคบๆ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,000 กว่าเมตร เป็นเส้นทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ข้างทาง จนถึงจุดหมายบนยอดเขาพีนานจากาน(Penajakan) ซึ่งมีความสูง 2,770 เมตร เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของอุทยานแห่งชาติโบรโม(Bromo Tengger Semeru National Park )
- บนยอดเขาพีนานจากานมักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเป็นคณะทัวร์และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวบาหลีด้วยตัวเอง มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านนักท่องเที่ยวที่หนาวจนทนไม่ไหวจะเช่าเสื้อกันหนาวใส่ หรือเข้าไปอาศัยไออุ่นจากเตาถ่านในร้านค้าที่เจ้าของร้านทุกร้านเตรียมไว้ให้ก็ได้ในร้านค้าที่นอกจากจะขายของที่ระลึก โปสการ์ด หนังสือ เสื้อ หมวก ผ้าพันคอ ฯลฯ ยังมีบริการ กาแฟร้อนๆ อีกด้วย ส่วนที่ขายดีที่สุดคือหมวกไหมพรม เพราะอุณหภูมิขณะที่อยู่บนยอดพีนานจากานประมาณ 5-7 องศาเซลเซียสเท่านั้น ในที่โล่งแจ้งมีน้ำค้างที่เปียกชื้นเหมือนฝนตกตลอดเวลา
- ภูเขาไฟโบรโมสูง 2,392 เมตร เป็นภูเขาไฟที่เคยระเบิดแล้วแต่เวลานี้สงบอยู่ ภูเขาไฟที่อยู่ติดกันคือ ภูเขาไฟบาต็อก(Batok) สูง 2,440 เมตร ส่วนภูเขาที่อยู่ไกลออกไป รูปทรงสวยงามเหมือนหญิงสาว เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดคือสูง 3,676 เมตร ชื่อ ภูเขาไฟเซเมรู (Semeru) เป็นภูเขาไฟที่ยังมีความร้อนระอุอยู่ข้างในตลอดเวลา นานๆทีก็จะระบายความร้อนเป็นควันออกมา บางทีก็มีเสียงดังคล้ายเสียงปะทุของโคลนเดือดดังออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟลูกนั้น รอบหุบเขาเป็นทะเลทราย ซึ่งเกิดจากเถ้าถ่านและฝุ่นผงจากการระเบิดของภูเขาไฟโบรโม ภูเขาไฟโบรโมเคยระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้งในช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ครั้งล่าสุดระเบิดเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เพราะภูเขาไฟโบรโมจัดว่าเป็นภูเขาไฟหลับ ปัจจุบันโบรโมยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มควันกลุ่มใหญ่ที่พวยพุ่งมาจากปากปล่องภูเขาไฟ
- ภููเขาไฟที่มีการระเบิดจะพ่นลาวา (หินละลาย) ออกมาแตกต่างกัน บางที่ เช่นแถบฮาวายจะพ่นลาวาร้อนเหลวไหลเอื่อยออกมาเมื่อปะทะความเย็นของน้ำทะเลก็จะแข็งตัวเหมือนการเคลือบช็อกโกแลต ภูเขาไฟบางแห่งปะทุลาวาที่ร้อนจัดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงมาก เมื่อกระจายตกไปยังที่ต่างๆ เช่น ป่า หรือ บ้านผู้คน ก็จะเกิดเพลิงไหม้ตามมา ส่วนภูเขาไฟโบรโม เวลาระเบิดมันจะปะทุลาวาเศษหินร้อน (Magma) กับพ่นเถ้าถ่านฝุ่นควันเป็นกลุ่มมหึมาขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นดอกเห็ด คล้ายระเบิดปรมาณู แล้วโปรยเถ้าร้อนๆกระจายไปทั่วสารทิศ
การเดินทางขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโมจะต้องขี่ม้าหรือเดินขึ้นไป แต่ม้าไปส่งได้แค่ไหล่เขาชั้นต้นเท่านั้น ช่วงถัดไปต้องเดินตามขั้นบันไดด้วยตัวเอง เป็นระยะทางประมาณ 200 เมตร ระหว่างทางมีที่พักกลางทางให้นั่งพักเหนื่อย กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวชอบทำกันก็คือเดินบนขอบปากปล่องภูเขาไฟที่มีลักษณะเป็นสันกว้างสามารถเดินได้โดยรอบ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเพราะขอบปากปล่องภูเขาไฟเป็นทรายที่ค่อนข้างลื่นส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็นหนุ่มสาวและมาเป็นคู่ต่างซื้อดอกไม้ป่าสีสวยกำใหญ่จากชาวบ้านที่ขึ้นมาขายถึงข้างบน ตั้งใจอธิษฐานของสิ่งที่ต้องการแล้วโยนช่อดอกไม้ลงไปในปากปล่องภูเขาไฟใกล้ๆ กันนั้นจะมองเห็นภูเขาไฟบาต๊อกอยู่ใกล้แค่เอื้อม กับภูเขาไฟเซเมรูนิ่งสงบน่าเกรงขาม
คาวาอีเจี้ยน
จากเมืองสุราบายา มายังเมืองโปรโบลิงโก Probolinggo อันเป็นที่ตั้งของกลุ่มภูเขาไฟโบรโม่ เดินทางถัดต่อไปทางตะวันออกไปยังเมืองบอนโดโวโซ Bondowoso ที่อยู่เกือบสุดชวาตะวันออก ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน
การเดินทางสู่คาวาอีเจี้ยน ดินแดนแห่งความลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก การเดินทางแสนลำบาก จึงควรหาเช่ารถไปจะดีกว่าการนั่งรถประจำทาง จะมีความสะดวกและคล่องตัวสูง ขนาดแค่จากเมือง Probolinggo ไปยังเมือง Bondowoso ก็แสนไกลอยู่แล้ว ส่วนการเดินทางไปยังคาวาอีเจี้ยนก็ต้องใช้เส้นทางชนบทขึ้นเขาผ่านป่าดงดิบ ชื้น ซึ่งปกติเรามักไม่ค่อยได้เห็นผืนป่าในอินโดนีเวียเท่าใดนัก แต่สำหรับเส้นทางไปยังคาวาอีเจี้ยนยังมีป่าใหญ่ๆ ให้ได้อยู่ตลลอดเส้นทาง
ภูเขาไฟ Kawah Ijen แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย จุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวนี้ คือ เปลวสีน้ำเงิน ซึ่งต้องดูในช่วงกลางคืนเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมีดูตอนสาย พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว ซึ่งต้องมาดูการเก็บกำมะถันเท่านั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมานั่งชมวิวขอบปล่องและทิวทัศน์ทะเลสาปสีเขียวมรกต เมื่อแดดยิ่งจัดผืนน้ำในทะเลสาปสีก็ยิ่งเข้มขึ้น จัดว่าเป็นความสวยงามที่แฝงเร้นด้วยพิษภัยอันตรายที่เราต้องพึงระวังอย่างสูง
จากเมืองสุราบายา มายังเมืองโปรโบลิงโก Probolinggo อันเป็นที่ตั้งของกลุ่มภูเขาไฟโบรโม่ เดินทางถัดต่อไปทางตะวันออกไปยังเมืองบอนโดโวโซ Bondowoso ที่อยู่เกือบสุดชวาตะวันออก ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน
การเดินทางสู่คาวาอีเจี้ยน ดินแดนแห่งความลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก การเดินทางแสนลำบาก จึงควรหาเช่ารถไปจะดีกว่าการนั่งรถประจำทาง จะมีความสะดวกและคล่องตัวสูง ขนาดแค่จากเมือง Probolinggo ไปยังเมือง Bondowoso ก็แสนไกลอยู่แล้ว ส่วนการเดินทางไปยังคาวาอีเจี้ยนก็ต้องใช้เส้นทางชนบทขึ้นเขาผ่านป่าดงดิบ ชื้น ซึ่งปกติเรามักไม่ค่อยได้เห็นผืนป่าในอินโดนีเวียเท่าใดนัก แต่สำหรับเส้นทางไปยังคาวาอีเจี้ยนยังมีป่าใหญ่ๆ ให้ได้อยู่ตลลอดเส้นทาง
ภูเขาไฟ Kawah Ijen แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย จุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวนี้ คือ เปลวสีน้ำเงิน ซึ่งต้องดูในช่วงกลางคืนเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมีดูตอนสาย พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว ซึ่งต้องมาดูการเก็บกำมะถันเท่านั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมานั่งชมวิวขอบปล่องและทิวทัศน์ทะเลสาปสีเขียวมรกต เมื่อแดดยิ่งจัดผืนน้ำในทะเลสาปสีก็ยิ่งเข้มขึ้น จัดว่าเป็นความสวยงามที่แฝงเร้นด้วยพิษภัยอันตรายที่เราต้องพึงระวังอย่างสูง
แหล่งข้อมูลจาก
- หนังสือคู่มือนักเดินทางฉบับพกพา อินโดนีเซีย หนังสือในเครือ เที่ยวรอบโลก
- หมูหินดอทคอม
- รูปภาพโดย www.tripdeedee.com